Chapter XII : Give it all
Title : Chapter XII ‘Give it all’
Pairing : Hyunbin x Yongguk
Rated : PG, R-15
Genre : Omegaverse, Romantic, Domestic
Note : ค่อยๆอ่านกันนะคะ : )
Hastag #PBITR
--------------------------------------------------
ในที่สุดฤดูหนาวก็มาถึงอย่างเป็นทางการ
หิมะสีขาวโปรยปรายอ้อยอิ่งให้เห็นกันตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม
และคงตกยาวจนถึงเดือนมีนาปีหน้าเหมือนอย่างเคย อาทิตย์ลับขอบฟ้าเมื่อไหร่
มองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นจะมีแต่สีขาวโพลนปกคลุมไปหมด
ทุกเช้ายงกุกจึงได้เห็นคนสวนของบ้านตระกูลควอนออกไปกวาดหิมะตั้งแต่เช้าตรู่ เป็นเช่นนี้มาร่วมอาทิตย์แล้ว
“ยงกุกอา พี่อ่านพยากรณ์อากาศแล้ว
เขาว่าคืนนี้หิมะไม่ตกล่ะ”
คิมยงกุกกำลังยืนง่วนอยู่กับเสื้อผ้าในตู้ของคนเป็นสามี
เพื่อพิจารณาว่าโค้ทตัวไหนจะเหมาะกับสูทที่อีกฝ่ายจะใส่ในวันนี้
ทว่าควอนฮยอนบินที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
คนตัวบางหันกลับไปมองเจ้าของเสียง
ก่อนจะต้องเลิกคิ้วน้อยๆเมื่อเห็นเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายสวมใส่
“ทำไมวันนี้แต่งตัวแบบนี้ล่ะครับเนี่ย?
ไม่ต้องใส่สูทเหรอ?”
เสื้อไหมพรมคอเต่าสีครีมกับสแล็คสีเข้มดูสบายตามากกว่าทุกๆวันทำเอาคนมองนึกแปลกใจ
นึกว่าจะใส่สูทสีเข้มๆเหมือนทุกครั้งเสียอีก
“ไม่ล่ะ
เดี๋ยวเย็นนี้ไปเดทแล้วรู้สึกเป็นทางเกินไป”
“ครับ?”
“งงอะไรกัน
ก็บอกอยู่ว่าวันนี้หิมะไม่ตก” ฮยอนบินยกยิ้มเอ็นดูเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังยืนกระพริบตาปริบๆ
ราวกับประมวลผลไม่ทันตามที่เขาพูด
ขายาวก้าวเข้าไปยืนตรงหน้าคนเด็กกว่าที่เงยหน้ามองกันตาใส
ก่อนจะอดใจไม่ไหวจนต้องก้มลงไปกดจูบเบาๆลงบนปลายจมูกโด่งด้วยความมันเขี้ยว
“เย็นนี้ไปเดทกับพี่นะยงกุก”
“อ่า...ครับ”
เอ่ยตอนรับทั้งที่ยังงงไม่หาย
ก็เล่นอยู่ดีๆก็มาพูดเรื่องหิมะ
แล้วก็ชวนเดทหน้าตาเฉยเสียอย่างนี้จะไม่ให้คิมยงกุกงุนงงได้อย่างไร
“ชวนกันดีๆแต่แรกก็ได้นี่ครับ
ไม่เห็นจะต้องมาพูดเรื่องหิมะก่อนเลย”
ปากว่าเคล้าเสียงหัวเราะเบาๆก่อนจะหันกลับไปสนใจเสื้อโค้ทในตู้ต่อ
ทว่ากลับต้องสะดุ้งไหวเล็กน้อยเมื่อคนตัวโตกว่าถือโอกาสนั้นสวมกอดกันจะข้างหลัง
ก่อนใบหน้าหล่อเหลาจะวางเกยลงกับลาดไหล่บาง
“มันก็ต้องมีเกริ่นนำหน่อยไหม...เขินเป็นเหมือนกัน”
คิมยงกุกแย้มยิ้มจนตาหยี
เขาชอบมากจริงๆเวลาที่นายใหญ่ตระกูลควอนแสดงด้านผู้ชายธรรมดาๆออกมาให้เห็นแบบนี้
“จะว่าไปก็ตลกดีนะครับ
คู่อื่นเขาเดทกัน แล้วค่อยคบกัน แล้วก็ค่อยแต่งงาน ดูเราสิ”
เอ่ยตอบเจ้าของอ้อมกอดนั้นเจื้อยแจ้ว
เพราะรู้สึกสนิทใจจากหลายเดือนที่ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมา
จึงเปิดเผยตัวตนที่โดยปกติจะมีก็แต่พ่อและพี่ๆเท่านั้นที่จะได้เห็น
และนั่นก็เป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ที่ฮยอนบินรู้สึกโชคดียิ่งกว่าใครในโลกนี้
“ดีแล้วไง ไม่ต้องเสียเวลา”
อีกครั้งที่อัลฟ่าหนุ่มทนเอ็นดูต่อไปไม่ไหว
จมูกโด่งกดลงสูดกลิ่นดอกพีชหอมหวานเสียฟอดใหญ่เต็มๆแก้มใสนุ่มนิ่ม
และดูเหมือนช่วงนี้กลิ่นหอมละมุนของยงกุกคล้ายว่าจะชัดเจนและหอมขึ้นกว่าแต่ก่อน
ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอีกสองสัปดาห์ก็จะเข้าสู้ช่วงฮีทแล้วหรือไม่
แต่ควอนฮยอนบินคิดว่าน่าจะมีส่วน
ด้วยช่วงนี้เขารู้สึกตัวเองทำรุ่มร่ามกับคนเป็นภรรยาบ่อยจนเกินไปเหมือนกัน
เอะอะก็เอาแต่กอดหอมมันทุกครั้งที่มีโอกาส ถึงยงกุกจะไม่เอ่ยปากว่า หรือแม้แต่คิดจะบ่ายเบี่ยง
เขาก็ว่าตัวเองช่างเอาเปรียบเก่งเหลือเกิน
“โค้ทสีแดงหรือสีน้ำตาลเข้มดีครับ?”
“ยงกุกว่าพี่ใส่สีไหนแล้วหล่อ?”
แต่ก็เอาเถอะ...
“จริงๆสีไหนก็หล่อหมดเลยครับ”
น่ารักเสียขนาดนี้
เขาอดทนมาได้ถึงป่านนี้ก็ยอดคนมากแล้ว
.
.
.
.
.
เพราะเดทที่ฮยอนบินพูดถึงเมื่อเช้า
คล้อยบ่ายวันนี้คิมยงกุกจึงถือโอกาสออกจากบ้านมาหามินฮยอนที่ร้านขนมของอีกฝ่ายเพื่อรอฮยอนบินเลิกงาน
จะได้ไม่ต้องขับรถไปหาเขาถึงที่บ้านแล้ววนรถออกมาอีก
เดี๋ยวนี้เขาค่อนข้างสนิทกับภรรยาอัยการองขึ้นมาก
เหมือนมีทั้งเพื่อนและพี่ชายที่เข้าใจกันได้ดีด้วยเพราะเป็นโอเมก้าเหมือนกัน
มินฮยอนเมื่อรู้ว่าอีกไม่นานยงกุกก็จะเข้าสู่ช่วงฮีท และตัดสินใจไม่กินยา
ก็ยังช่วยแนะนำถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น
และการรับมือต่างๆนาๆกับทั้งยงกุกและฮยอนบินอีกด้วย
ร้านของคุณมินฮยอนตกแต่งอย่างอบอุ่นจนให้ความรู้สึกคล้ายกับอยู่บ้าน
ไม่ได้เล็กหรือใหญ่จนเกินไปนัก ทว่าก็มีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาอย่างไม่เคยขาด
คุณมินฮยอนเคยเล่าว่าตนเปิดร้านนี้ตอนเรียนจบใหม่ๆ
โดยมีองซองอูช่วยเหลือในหลายๆอย่าง ประกอบกับไม่ใช่คนที่ชอบอยู่บ้านเฉยๆ
ก็เลยเกิดเป็นร้านขนมแห่งนี้ขึ้นมาโดยมีเพื่อนอีกคนที่ชื่อคุณมินกิเป็นหุ้นส่วนและช่วยดูแลหลายๆอย่าง
หลังจากที่เด็กชายซอนโฮเกิด และมินฮยอนก็ต้องเอาเวลาไปทำหน้าที่แม่คนอย่างเต็มที่
เป็นชีวิตครอบครัวในอีกแบบที่ยงกุกเพิ่งเคยได้รู้จัก
ด้วยเพราะเกิดมาในครอบครัวที่มีพร้อมทุกอย่าง มีแม่บ้านคอยทำหลายสิ่งอย่างให้
กระทั่งมาอยู่บ้านตระกูลควอน เขาก็ยังได้อยู่อย่างสุขสบาย
จึงไม่เคยคิดถึงการสร้างครอบครัวด้วยตัวเองมาก่อนเหมือนกัน
ทั้งยงกุกยังรู้มาว่าครอบครัวฮวังเองก็ไม่ได้ยินดีปรีดากับการมีลูกชายเป็นโอเมก้าเสียเท่าไหร่นัก…
คาดว่าทั้งคุณมินฮยอนและคุณซองอูก็คงผ่านอะไรกันมาไม่น้อยเลยทีเดียว
“น้ากูกกก”
“ไงครับคนเก่ง”
ยงกุกส่งยิ้มให้เจ้าของเสียงเล็กเจื้อยแจ้วจนตาหยี
เมื่อทันทีที่เดินเข้ามาในร้านยังไม่ทันจะส่งเสียงทักทาย
หลานชายตัวน้อยวิ่งตึงตังเข้ามากอดอ้อนจนต้องอุ้มขึ้นแล้วฟัดหอมแก้มย้วยๆนั่นเสียข้างละสองที
“น้ากูก
วันนี้ซอโนปากวดวาดยูปได้ทิหนึ่งด้วยแน่ะ”
“จริงเหรอครับ ซอโนของน้าเก่งจัง”
“ขี้อวดจริงนะเรา”
เด็กชายหัวเราะคิกคักกับประโยคของคนเป็นแม่
ก่อนจะพูดจ้อไม่หยุดถึงเรื่องเพื่อนที่โรงเรียนวันนี้ให้คุณน้าสะใภ้คนโปรดฟัง
เรียกทั้งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของทุกคนรอบข้างออกมาได้ราวกับมีเวทมนต์
แต่ก็นั่นล่ะ...คิมยงกุกคิดมาตลอดเลยว่าเด็กๆทุกคนก็เหมือนมีเวทมนต์กันทั้งนั้น
แค่ได้มองมีมีความสุข
แค่เลียงเล็กหัวเราะเอิ้กอ้ากก็ชวนให้หายเหนื่อยจากทุกสิ่งอย่าง
เขาหวังว่าสักวันตนเองคงจะได้รับพรแสนวิเศษแบบนี้เช่นเดียวกัน
หลังจากนั้นไม่นาน
เด็กชายซอนโฮที่ใช้พลังงานมาทั้งวันก็เริ่มหาวหวอด
คุณมินกิจึงเป็นฝ่ายอาสาพาเจ้าตัวน้อยขึ้นไปนอนบนชั้นสองของร้านที่ถูกทำไว้เป็นห้องพักส่วนตัว
ส่วนยงกุกกับมินฮยอนยังคงนั่งกินขนมและพูดคุยกัน เมื่อลูกค้าบางตาลงแล้ว
“จริงสิ...ฉันคุยกับพี่ซองอูแล้วล่ะ
เรื่องนั้น”
คิมยงกุกพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มบางเมื่อมินฮยอนเอ่ยถึงเรื่องอึดอัดใจที่เคยมาคุยกับเขา
เกี่ยวกับที่คุณซองอูกำลังสอบสวนคดีของพ่อฮยอนบิน
ด้วยเพราะรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง และยังรู้อีกว่ามันเสี่ยงแค่ไหนกับสิ่งที่ทำอยู่
ยงกุกจึงเข้าใจความรู้สึกของคุณมินฮยอนดีว่ามันคงแย่ที่ต้องเห็นคนที่รักเข้าไปพัวพัน
ถึงอย่างนั้นก็ทำได้เพียงรับฟัง
พร้อมกับคำแนะนำง่ายๆว่าควรจะคุยกันมากกว่าเก็บความอัดอั้นนั้นเอาไว้ฝ่ายเดียว
“ขอบคุณยงกุกมากๆเลยนะที่คอยฟังฉันบ่นเยอะแยะ”
“ไม่เป็นไรครับ
คุณมินฮยอนก็ช่วยผมเยอะแยะเหมือนกัน”
“จริงด้วย
อีกสองอาทิตย์ก็เข้าช่วงฮีทแล้วนี่นา...ยังดีที่ฮีทแค่ปีละสองครั้งนะ
เมื่อก่อนฉันฮีททีไรก็ต้องหยุดเรียนมันตลอด เซ็ง”
คนแก่กว่าบึนปากอย่างกับเด็กเล็กๆ
เรียกให้คนมองอดจะหัวเราะไม่ได้
“แต่นายแต่งงานแล้วนี่นา
ถ้าผูกพันธะแบบฉันก็สบายแล้วล่ะ อัลฟ่าคนไหนก็มายุ่มย่ามไม่ได้แล้ว”
หากประโยคนั้นก็ทำเอาคิมยงกุกชะงัก…
ผูกพันธะงั้นหรือ?
จริงสิ...เขาเองไม่เคยนึกถึงเรื่องแบบนี้มาก่อนเลยเหมือนกัน
มันเป็นยังไงกันนะ?
“ถามได้หรือเปล่าครับ”
“ได้สิ อยากรู้อะไรล่ะ?”
ตาคู่สวยเหลือบมองรอยจางๆที่ปรากฏบริเวณหลังกกหูขาวของมินฮยอน
ก่อนจะเลื่อนสายตามามองใบหน้าเกลี้ยงเกลาพร้อมคำถามที่ทำเอาคนอายุมากกว่าหลุดขำด้วยเพราะเอ็นดู
“เจ็บไหมครับ? แล้ว...หลังจากนั้นจะเป็นยังไงต่อ”
“จะอธิบายยังไงดีล่ะ...มันก็เจ็บแหละ
ส่วนหลังจากนั้น...”
ฮวังมินฮยอนเหลือบตามองเพดานพลางครุ่นคิดถึงความรู้สึกของการผูกพันธะ
ในหัวพยายามนึกหาคำนิยามของสิ่งนั้นเพื่อบอกให้คนเด็กกว่าเข้าใจโดยง่ายที่สุด
“ก็ถ้าผูกพันธะกัน...ทั้งหมดของเราก็จะกลายเป็นทั้งหมดของเขา
ทั้งหมดของเขาก็เป็นทั้งหมดของเราด้วยเหมือนกัน
เป็นทั้งหมดของกันและกันอย่างสมบูรณ์...ประมาณนี้ล่ะมั้ง”
“ฟังดูเป็นเรื่องใหญ่เหมือนกันนะครับ”
“ไม่หรอก….”
มินฮยอนผุดยิ้ม
ในตอนนั้นที่คนเด็กกว่าสังเกตเห็นประกายความอบอุ่นในตาของอีกคน
เมื่อเอ่ยประโยคถัดมา
“สำหรับคนที่เรารู้สึกว่าอยากจะตื่นมาเจอเขาเป็นคนแรกในทุกๆเช้า...มันไม่ใช่เรื่องที่ตัดสินใจยากอะไรเลย”
รอยยิ้มของมินฮยอนดูสวยกว่าทุกครั้งเมื่อพูดถึงใครอีกคนที่เป็นความหมายในประโยคนั้น
“ก็อยู่ที่ยงกุกแล้ว...ว่ารู้สึกแบบนั้นกับน้องชายฉันหรือเปล่า?”
ยังไม่ทันได้คิดหาคำตอบ
เสียงกระดิ่งในช่อมิสเซิลโทที่แขวนอยู่ตรงประตูร้านต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสซึ่งกำลังใกล้เข้ามาในอีกไม่ช้า
ก็ส่งเสียงดังเป็นสัญญาณว่ามีคนมาใหม่เรียกให้เราทั้งคู่หันไปมอง
เป็นเจ้าของกลิ่นฝนคุ้นเคยที่ก้าวตรงมาหาเขาในโค้ทสีแดงซึ่งยงกุกเป็นคนเลือกให้พร้อมรอยยิ้มอบอุ่นที่มีให้คิมยงกุกเสมอ...
ที่ผ่านมายงกุกเคยนึกสงสัย
ว่าคนเรามีความหมายต่อกันอย่างไร
อะไรกันที่ทำให้คนๆหนึ่งสามารถทำสิ่งหนึ่งเพื่อใครอีกคนได้
รวมกับคำถามก่อนหน้าของคุณมินฮยอนนั้น…
คิมยงกุกคิดว่าเขาได้คำตอบแล้ว…
.
.
.
สวนสาธารณะนัมซานในช่วงค่ำของฤดูหนาวนั้นผู้คนค่อนข้างบางตาจนแทบจะนับนิ้วได้
อันที่จริงยงกุกคิดว่าคู่รักหลายคู่คงขึ้นไปที่โซลทาวน์เวอร์กันเสียมากกว่า
ถึงจะล่วงเข้าฤดูหนาวแบบนี้
ต้นซากุระในสวนก็ยังคงมีดอกสีชมพูอ่อนให้เห็นอยู่ดี แม้กลีบดอกจะร่วงโรยปลิดปลิวกันไปบ้างก็ตามที
อย่างไรก็ชวนให้เห็นเป็นภาพที่สวยงามไม่น้อยทีเดียว
เดทที่ว่าไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการไปดินเนอร์ด้วยกันที่ร้านอาหารร้านโปรดของยงกุกที่ไม่ได้ไปมานาน
ก่อนจะมาจบลงที่สวนนัมซานด้วยการเดินเล่นเอื่อยเฉื่อย
ดูแล้วออกจะธรรมดาเสียด้วยซ้ำ
แต่เป็นความธรรมดาที่เราต่างก็หลงรักจนอยากให้ความธรรมดานี้คงอยู่ไปนานแสนนาน
ไม่รู้ว่าจะสร้างสถานการณ์โรแมนติกมากมายไปเพื่ออะไรเหมือนกัน
ในเมื่อแค่ได้อยู่ด้วยกันก็ดีมากกว่าอะไรทั้งหมดแล้ว
“ที่นี่ตอนฤดูใบไม้ผลิคงสวยน่าดูเลยนะครับ
สวนแอปเปิ้ลของคุณแม่ก็คงเหมือนกัน เอ้อ ต้นแม็กโนเลียที่บ้านเราก็ด้วย”
เสียงใสของคิมยงกุกเอ่ยจ้อ
ตอนที่เราหยุดยืนกันที่ใต้ต้นซากุระต้นหนึ่ง
ตาคู่สวยมองบรรยากาศรอบข้างพร้อมกับสูดกลิ่นของอากาศฤดูหนาวเข้าไปเต็มปอด
“ยงกุกชอบฤดูใบไม้ผลิเหรอ?”
คนเป็นพี่ถามพลางเอื้อมมือไปโอบเอวเด็กช่างพูดเอาไว้หลวมๆ
ดวงตาเรียวรีทอประกายอ่อนโยนยามมองคนเป็นภรรยาพูดเจื้อยแจ้วด้วยรอยยิ้มสดใส
“ครับ อากาศก็ดี ดอกไม้ก็สวยด้วย
แถวบ้านผมจัดงานเทศกาลทุกต้นฤดูใบไม้ผลิด้วยนะครับ สนุกมากเลยล่ะ
ไว้เราไปกันนะครับ”
“อืม...ไปสิ
ไปด้วยกันทุกฤดูใบไม้ผลิเลยดีไหม?”
“ครับ”
รอยยิ้มนั้นของคนในอ้อมแขนกับกลีบดอกซากุระที่ถูกสายลมฤดูหนาวพัดโปรยปรายให้ความรู้สึกราวกับกำลังตกอยู่ในความฝัน…
และหากมันเป็นความฝัน
ควอนฮยอนบินก็ยินดีที่จะติดอยู่ในฝันเช่นนี้ตลอดไป...
.
.
.
วันนี้ฮยอนบินไม่ได้ขลุกอยู่แต่ในห้องทำงานเหมือนอย่างเคย
อันที่จริงตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้อีกฝ่ายแทบไม่ได้ก้าวเข้าไปในห้องทำงานเสียด้วยซ้ำ
พอเอ่ยถามก็ได้คำตอบชวนให้หน้าร้อนจากคนที่แสนจะตรงไปตรงมาว่าต้องเตรียมตัวดูแลยงกุกที่ใกล้จะฮีทในอีกสัปดาห์ข้างหน้า
แต่เห็นว่าคดีใกล้สะสางในอีกไม่ช้าแล้วเหมือนกัน
แบบนั้นยงกุกก็พลอยใจชื้นตามไปด้วย
“คุยกับใครอยู่ หืม? ยิ้มน้อยยิ่มใหญ่เชียว”
“คุยกับพี่แดนครับ พี่บินดูสิ
ไปเที่ยวสวิสแล้วถ่ายรูปมาอวดใหญ่เลย”
เอ่ยตอบคนที่เข้ามาสวมกอดกันจากด้านหลัง พลางยื่นหน้าจอที่กำลังแสดงรูปถ่ายตลกๆจากพี่ชายคนรองของบ้าน
ทำเอาฮยอนบินนึกถึงเรื่องทริปฮันนีมูนที่เคยคุยค้างคากันเอาไว้ก่อนหน้านี้
“จริงสิ
เราไปฮันนีมูนช่วงสิ้นปีเลยดีไหม? ให้เราผ่านช่วงฮีทไปก่อน
แล้วก็เที่ยวปีใหม่ไปด้วยเลย”
คนในอ้อมกอดพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะหมุนตัวกลับมามองหน้าคนเป็นสามีโดยที่ยังคงถูกกอดอยู่อย่างนั้น
“จะไปไหนกันเหรอครับ?”
“ยงกุกอยากไปไหนล่ะ?”
“อืม…หน้าหนาวแบบนี้
อังกฤษไหมครับ? ไม่สิ อิตาลีดีกว่า เอ...หรือจะไปฝรั่งเศสกันดีครับ? ไปไหนกันดีพี่บิน คิดไม่ออกแล้วอ่ะ”
ควอนฮยอนบินยิ้มขำยามคนเด็กกว่าเริ่มส่งเสียงกระเง้ากระงอดเมื่อเลือกไม่ถูก
แสนจะน่าเอ็นดูจนอดไม่ได้ต้องก้มลงไปกดจูบลงบนริมฝีปากบางๆที่เดี๋ยวนี้พูดจ้อเก่งเสียเหลือเกิน
ทำเอาคนที่โดนจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวตาโตด้วยความตกใจ
ดูแล้วยิ่งน่าเอ็นดูเข้าไปใหญ่
“อะไรครับเนี่ย?”
“ทำไมล่ะ? ไม่ได้เหรอ?
หืม?”
ไม่ว่าเปล่า
เจ้าของใบหน้าหล่อเหลายังก้มลงใช้ปลายจมูกโด่งของตนหยอกเย้ากับปลายจมูกรั้นน่าเอ็นดูไปมา
ยงกุกหัวเราะเบาๆกับท่าทีของคนตัวโตกว่า
ไม่เคยคิดมาก่อนเลยเหมือนกันว่าเราจะมาอยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้กันได้
เขาแทบจำไม่ได้เสียด้วยซ้ำว่าทุกอย่างนี้มันเริ่มมาจากความว่างเปล่า…
แทบจำไม่ได้เลยว่าทำไมเราถึงแต่งงานกัน
ก็คงเพราะว่ามันไม่ได้สำคัญอะไรอีกต่อไปแล้วในตอนนี้
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ”
“จริงเหรอ? งั้น...จูบอีกได้ไหม?”
“เรื่องแบบนี้เขาถามกันด้วยเหรอค---”
ไม่ปล่อยให้คนในอ้อมแขนได้พูดอะไรอีกต่อไป...ควอนฮยอนบินก็เก็บกลืนทุกถ้อยคำนั้นด้วยริมฝีปากของตนในที่สุด
ในตอนนั้นเองที่ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของอัลฟ่าหนุ่มพองโตกว่าครั้งไหนๆเมื่อวงแขนของคนเป็นภรรยายกขึ้นโอบรอบคอ
พร้อมริมฝีปากบางที่ขยับตอบรับ เปิดทางให้เขาได้เชยชิมความหวานล้ำตามแต่ใจต้องการ
จากกอดหลวมๆที่เอวบางก็กลายเป็นกระชับแน่นขึ้นจนร่างกายแนบชิด...รับรู้ได้ถึงอุณภูมิของอีกคนอย่างชัดเจนแม้จะมีชุดนอนเนื้อดีกางกั้น
ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อมวลขึ้นภายใน
และควอนฮยอนบินรู้ดีว่ามันคืออะไร…
เขาจึงตัดสินใจถอนจูบออกอย่างเชื่องช้าอ้อยอิ่ง
หากแต่งยังไม่ละห่างไปไหนเมื่อปลายจมูกยังคงเกลี่ยไล้ไปทั่วใบหน้าเนียนใสในตอนที่เสียงทุ้มพร่ำเอ่ย
“อีกนิดพี่ต้องหยุดไม่ได้แน่ๆ…”
ทว่าวงแขนของยงกุกกลับโอบกระชับแน่นขึ้นกว่าเดิม
หากแต่นั่นไม่สั่นสะเทือนหัวใจของคนเป็นสามีได้มากเท่าริมฝีปากบางที่แตะจูบเบาๆตรงปลายคาง...เป็นสัญญาณที่บอกกับเขาผ่านการกระทำโดยไม่ต้องมีคำพูดใด
คิมยงกุกส่งยิ้มละไมให้อีกฝ่ายในตอนที่เราสบตากัน
ก่อนที่เปลือกตาสีน้ำนมจะปิดพริ้มลงเมื่อจูบลึกซึ้งนั้นเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง...พร้อมอ้อมกอดที่กระชับแนบแน่นราวกับว่าเจ้าของกอดนี้จะไม่มีวันปล่อยให้เขาได้หลุดลอยไปไหนเป็นอันขาด...
และเพียงแผ่นหลังบางสัมผัสผืนเตียง
พร้อมจุมพิตที่คนโตกว่าไม่ยอมให้ทิ้งช่วงห่างนานนัก
เราต่างก็รู้กันทั้งคู่ในวินาทีนั้น
ว่าไม่สามารถหยุดยั้งสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ได้อีกต่อไป
และคงไม่มีแม้แต่เสี้ยวความคิดที่จะหยุดมันเช่นกัน
อาภรณ์ทั้งหมดของเราถูกทิ้งรวมกันอยู่ข้างเตียง
เหลือเพียงผิวกายเปลือยเปล่าที่แนบชิดเสียดสี…
ริมฝีปากของคนด้านบนไล้แตะสัมผัสลิ้มชิมแทบจะทุกตารางนิ้วบนผิวขาวนิ่มนวลโดยที่ฝ่ามือก็ไม่ทิ้งห่าง
คอยไล้สัมผัสเรียกกระแสความร้อนสลับเย็นให้ไหลวนไปมามาชวนสะท้าน
จวบเมื่อจุมพิตนั้นหยุดลงกดย้ำเบาๆบนหน้าท้องเนียนราบเรียบ...
ความรู้สึกรุมร้อนประหลาดก็ตีตื้นขึ้นในกายคนข้างใต้
พร้อมกลิ่นฟีโรโมนหอมฟุ้งกระจายไปทั่วห้องรุนแรงฉับพลันและส่งผลต่อความรู้สึกของอัลฟ่าโดยตรง
ทำเอาควอนฮยอนบินถึงกับชะงัก ก่อนจะดันตัวขึ้นมองคนใต้ร่างด้วยความประหลาดใจ
“ยงกุก…”
ริมฝีปากของคนถูกเรียกเม้มเข้าหากัน
คิมยงกุกทั้งขัดเขินระคนตกใจที่อยู่ดีๆอาการฮีทก็เกิดขึ้นอย่างฉับพลันแบบนี้ทั้งที่ยังไม่ถึงเวลา
เพียงแค่ถูกใครอีกคนรุกเร้า
หากแต่กายข้างในก็ร้อนรุ่มไปหมดคล้ายสติสัมปชัญญะกำลังจะถูกสัญชาตญาณกลืนกินอย่างช้าๆ...
มือบางยกขึ้นทาบกับใบหน้าหล่อเหลาของคนด้านบน
ลูบไล้แผ่วเบาโดยไม่รู้ตัวเลยว่าปฏิกริยาแบบนั้นทำให้อีกฝ่ายหัวใจแทบหยุดเต้น
ดวงตาที่ฉ่ำชื้นไปด้วยหยาดน้ำแวววาวเต็มไปด้วยความรู้สึกล้ำลึกบางอย่างที่ชวนให้ควอนฮยอนบินร่วงหล่นและด่ำดิ่งอย่างไม่อาจปีนป่ายกลับขึ้นมาได้อีกต่อไป…
ในท้ายที่สุดเราก็ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่มันควรจะเป็น…
ทุกสัมผัสที่ลากไล้...ทุกความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นจากข้างใน
ล้วนแล้วแต่ไร้ซึ่งความเร่งร้อนใด...เพียงไหลระเรื่อยไปตามแต่จังหวะที่ธรรมชาติจะนำพา
“อะ…”
คิมยงกุกถึงกับเผลอส่งเสียงหวานสะดุดขาดห้วง...มือบางที่วางอยู่บนลาดไหล่แกร่งจิกเกร็งยามรับรู้ถึงตัวตนทั้งหมดของอีกฝ่าย…
หากแต่ความรู้สึกเจ็บแปลบก็คงอยู่เพียงไม่นาน
หลังจากที่ริมฝีปากของคนด้านบนกดจูบปลอบโยนที่ข้างขมับชื้นเหงื่อ
และร่างกายบางเริ่มปรับสภาพได้ตามกลไกของโอเมก้าในช่วงฮีท เป็นเช่นนั้นแล้วควอนฮยอนบินจึงเริ่มสานต่อทุกอย่างไม่ให้ขาดช่วง
จังหวะขยับเคลื่อนนั้นลุ่มลึก
นุ่มนวลดั่งธารน้ำใสไหลผ่านโขดหิน
ทว่าสิ่งที่ก่อเกิดภายในกลับให้ความรู้สึกไม่ต่างจากเกลียวคลื่นที่สาดซัด
เสียงหอบหายใจสั่นสะท้านสอดประสานเคล้าเสียงครางเครือหวานนุ่มดังคลอกันไม่ห่าง...
กระแสความรู้สึกหวามไหวแล่นแปลบปลาบไหลวนตั้งแต่ท้องน้อยจนถึงปลายเท้า
ความร้อนแผ่กระจายทั่วสรรพางค์กายพาให้หยาดเหงื่อผุดพรายไปทั้งผิวกายของเราทั้งคู่
แก้มเนียนสวยขึ้นสีระเรื่อน่าดูยามเมื่อคนที่กำลังขยับเคลื่อนไหวด้านบนเบนสายตาลงมาจดจ้องกันลึกซึ้ง
ก่อนวินาทีถัดมาใบหน้าคมจะโน้มลงจูบซับหยาดเหงื่อที่พร่างพราวดั่งหยาดน้ำค้างปลายเกสรบนใบหน้าใสนวลของคนใต้ร่าง
ในขณะนั้นเองที่เราสบตากันในระยะที่ใกล้ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
หน้าผากจรดหน้าผาก…
ปลายจมูกจรดปลายจมูก...ลมหายใจอุ่นสอดประสานราวกับว่ากำลังใช้ลมหายใจเดียวกัน
ท่ามกลางกลิ่นหยาดฝนเย็นเคล้ากลิ่นหอมนุ่มนวลของดอกพีช
ริมฝีปากของเราแตะแผ่วผิวยามเสียงทุ้มเอ่ยกระซิบถ้อยคำที่ราวกับหยุดโลกทั้งใบของคนฟัง
“พี่รักยงกุกนะ…”
หัวใจดวงน้อยกระหน่ำเต้นรัวในครานั้น…
เป็นจังหวะเดียวกันกับที่มวลความรู้สึกทั้งหมดระเบิดพร่างพราย…
ชั่วขณะที่ยงกุกยังคงลอยเคว้งอยู่กลางความรู้สึกที่ฟุ้งกระจายหลังคลื่นอารมณ์ผ่านพ้น
สัญชาติญาณอัลฟ่าก็พาให้ฮยอนบินเคลื่อนริมฝีปากไปกดจูบบริเวณหลังกกหูขาวของอีกฝ่ายโดยที่ตัวตนยังคงฝังลึกอยู่ในความอุ่นร้อนอ่อนนุ่มตามกลไกของอัลฟ่าหลังการปลดปล่อย
ทว่าเจ้าตัวกลับหยุดชะงักคล้ายกับรู้สติขึ้นมา
ด้วยเพราะทั้งตัวฮยอนบินและยงกุกต่างก้รู้ดีว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้มันสำคัญแค่ไหน
และจะไม่มีวันถอยหลังกลับได้อีกต่อไป…
แน่เสียยิ่งกว่าแน่ที่ควอนฮยอนบินยินดีจะผูกติดความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้กับอีกฝ่าย...แต่ไม่รู้เลยว่ายงกุกยินดีด้วยใจหรือไม่…
กระทั่งในตอนนั้น…
เป็นคิมยงกุกเสียเองที่ยกฝ่ามือขึ้นวางลงบนหลังคอของคนด้านบน
ปลายนิ้วเรียวสวยเกลี่ยไล้เส้นผมสีเข้มบนท้ายทอยอีกฝ่ายไปมาพลางเอ่ยเสียงนุ่มแผ่วผิวข้างใบหู
“ยงกุกก็รักพี่เหมือนกัน...”
เพียงประโยคเดียวนั้นราวกับเป็นกุญแจที่ปลดล็อคซึ่งความสับสนทุกสิ่งอย่าง
ฟันขาวขบลงบนตำแหน่งเต็มแรงแทบจะทันทีที่สิ้นคำ
ส่งผลให้ยงกุกจำต้องกัดริมฝีปากสะกัดกลั้นความเจ็บปวดจนได้รสสนิมคลุ้งอยู่ในปาก
มือบางที่วางอยู่บนลำคอแกร่งจิกเกร็ง
สั่นระริกไม่ต่างจากปลายเท้าที่จิกเข้ากับผ้าปูที่นอนจนยับย่นเมื่อกระแสความรู้สึกประหลาดแล่นพล่านไปทั้งร่างกาย
ทว่าต่อเมื่อความเจ็บปวดนั้นผ่านพ้นในไม่ถึงนาทีต่อมา
ยงกุกก็รู้สึกราวกับร่างกายของเขาเบาหวิวขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
ควอนฮยอนบินกดจูบย้ำอยู่บนรอยแดงห้อเลือดนั้นซ้ำไปซ้ำมาเพื่อปลอบประโลม
ก่อนจะไล่พรมไปทั่วใบหน้าเนียน กระทั่งหยุดลงที่จูบลึกซึ้งหอมหวานบนริมฝีปากบาง...
สองฝ่ามือสอดประสานแนบแน่น...
และความอุ่นวาบที่ปรากฎขึ้นในอกครานั้นก็เป็นคำตอบ…
ว่าในตอนนนี้…
เราต่างก็เป็นทั้งหมดของกันและกัน
...อย่างสมบูรณ์…
.
.
.
.
TBC.
นั่นล่ะฮะทั่นผุ้อ่าน5555555555
บอกตามตรงว่ารู้สึกหมดพลังมากค่ะ
เหมือนไม่ได้เขียนฉากแบบนี้มาเกือบปีได้แล้ว
ละคือยิ่งพอเป็นเรื่องนี้เราก็ยิ่งต้องสรรหาคำมาใช้ให้ซอฟต์ที่สุดเท่าที่จะซอฟต์ได้นี่ยิ่งหมดพลังเลย;-;
แต่เราก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อทุกคนเลยนาาา
หวังว่าจะชอบนะคะ //_\\
ดูเหมือนเดินเรื่องเร็วเนอะ
แต่ถ้าเรียงทามไลน์ดูดีๆคือเขาอยู่ด้วยกันมาหลายเดือนแล้วล่ะค่ะ
ส่วนตัวเราว่าช่วงเวลานี้ก็เหมาะสมมากแล้วแหละเนาะ ทั้งในเรื่องของความรู้สึกอะไรตั่งต่างด้วยเหมือนกัน
จากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไร จับมือกันไว้ให้แน่นๆนะคะ
เราจะผ่านมันไปด้วยกัน
ขอบคุณทุกฟีดแบคน่ารักๆที่ผ่านมาเหมือนเดิมค่ะ
หลายคนก็มีหล่นหายกลางทางกันไปบ้างก็ไม่เป็นไรโน๊ะ รักเหมือนเดิมนั่นแหละ ฮริ(。・ω・。)ノ♡
เล่มฟิคยังเปิดให้จับจองเป็นเจ้าของกันได้ถึงสิ้นเดือนหน้าเลยน้า
เข้าไปอ่านรายละเอียดกันได้นะคับ :3 >>Click<<
แล้วก็ ฝากเอ็นดูโปรเจ็คฟิค #12mWithBinGuk จาก #มีตบินกุก ด้วยน้าา เราจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทุกคนเลยค่ะ : )
คุยกันได้ที่เดิมเนอะ #PBITR
เริ้บ
m i s s c o z y
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น