Chapter V : Let it be

Title : Chapter V : Let it be
Pairing : Hyunbin x Yongguk
Rated : PG
Genre : Omegaverse, Romantic, Domestic
-----------------------------------------


นี่ยงกุก

ครับ?”

เย็นนี้อยากไปไหนไหม?”

ไม่รู้สิครับ...คุณล่ะ?”

คิมยงกุกถามกลับทั้งที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากหนังสือในมือที่กำลังอ่าน อันที่จริงควอนฮยอนบินก็เอ่ยปากถามทั้งที่สายตายังคงจดจ้องกับหมึกในกระดาษเช่นเดียวกัน มันเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เราค้นพบว่าเป็นกิจกรรมที่เราต่างก็โปรดปรานเหมือนๆกันทั้งคู่

เป็นอีกวันในแทกูที่เราแค่นอนอ่านหนังสือด้วยกันเงียบๆใต้ต้นแอปเปิ้ล ฟังแค่เสียงพลิกหน้ากระดาษ เสียงใบไม้กิ่งไม้กรีดไล้ตามลม เพลิดเพลินกับเนื้อเรื่องในหนังสือและกลิ่นดอกพีชของคนที่เขากำลังนอนหนุนตัก---ใช่ ไม่ผิดหรอก เขากำลังนอนหนุนตักนิ่มๆของคิมยงกุกอยู่จริงๆ

ความจริงแล้วความสัมพันธ์ในช่วงสี่ห้าวันที่ผ่านมามันก็ไม่ได้ก้าวกระโดดอะไรมาก เราตื่นมากินอาหารเช้าง่ายๆฝีมือแม่ นั่งดูทีวีด้วยกันบนโซฟา อ่านหนังสือด้วยกันในสวนหลังบ้าน  หรือบางครั้งยงกุกก็เข้าครัวไปทำขนมกับแม่ โดยที่เขายืนมองอยู่เงียบๆ

แล้วก็เป็นอย่างทุกคืนที่เราจะนอนจับมือ คุยเรื่องสัพเพเหระทั่วๆไปจนกระทั่งผล็อยหลับ

หัวข้อก็เปลี่ยนไปเรื่อย หนังเรื่องโปรดบ้าง ของหวานที่ชอบบ้าง ของเล่นชิ้นแรกในตอนเด็กบ้าง

เขารู้สึกเหมือนได้ใช้เวลาห้าวันที่แทกูกับยงกุกรวมๆกันแล้วมากกว่าเวลาตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเสียอีก

มันไม่มีอะไรพิเศษมากไปกว่าการใช้เวลาไปกับเรื่องง่ายๆในชีวิตประจำวัน

จะพิเศษก็คงเพราะเป็นการใช้เวลาในชีวิตประจำวันที่ว่านั่นร่วมกันเสียมากกว่า

ชีวิตประจำวันที่มองไปก็เห็นใครอีกคนอยู่ด้วยเสมอ

และนั่นแหละที่ทำให้ควอนฮยอนบินรู้สึกเหมือนกับว่า

บางสิ่งในใจที่ไม่เคยถูกเติมเต็มมาเนิ่นนานจนมันกลายเป็นช่องว่างขนาดใหญ่

ในตอนนี้คล้ายจะถูกเติมเข้ามาทีละนิด

และโดยไม่ทันรู้ตัว

ความใกล้ชิดก็กลายเป็นเรื่องปกติของเราไปเสียแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นการจับมือก่อนนอน

การตื่นมาในตอนเช้าแล้วพบว่าเขากำลังกอดอีกฝ่ายเอาไว้

หรือการที่ยงกุกนั่งอิงไหล่กว้างของเขาในยามที่เราดูหนังด้วยกันบนโซฟาตอนบ่าย

การที่เขาวาดวงแขนโอบไหล่ของอีกคนกลับไป...

กระทั่งการนอนหนุนตักกันแบบนี้

ทุกอย่างล้วนกลายเป็นความปกติที่ให้ความรู้สึกว่ามันช่างถูกที่ถูกทางไปเสียหมด

ฉันก็ไม่รู้จะไปไหนเหมือนกัน

คุณเบื่อหรอ?”

กลัวนายเบื่อต่างหาก จริงๆฉันอยากจะอยู่แบบนี้ไปตลอดด้วยซ้ำ

ใครๆก็ต้องมีความรู้สึกแบบนี้กันทั้งนั้น หลังจากได้ใช้เวลาเอื่อยเฉื่อยแสนขี้เกียจในวันหยุดยาวที่แสนสงบ โดยเฉพาะวันหยุดยาวที่ได้ใช้เวลากับยงกุกแทบทั้งวันแบบนี้

พอนึกถึงตอนที่ต้องกลับไปเจอกองเอกสารเท่าภูเขา ประชุมติดต่อกันหลายชั่วโมง และอีกสารพัดเรื่องน่าปวดหัวในบริษัท

ไหนจะมีเรื่องสำคัญที่เขาต้องกลับไปสะสางอีก...

แค่คิด ควอนฮยอนบินก็อยากจะให้เวลามันหยุดลงแค่ตรงนี้จริงๆ

อีกอย่าง

แค่คิดว่ากลับไปคงจะไม่ได้นอนด้วยกันอีกเขาก็รู้สึกแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก...อาจเพราะเขาชอบกลิ่นดอกพีชที่อบอวลอยู่
ใกล้ๆเวลาที่เรานอนข้างๆกันไปแล้ว

ผมเข้าใจครับ...คุณเอาแต่ทำงานหนักขนาดนั้นคงเหนื่อยน่าดู

อืม...พอนึกว่าต้องกลับไปเจออะไรบ้างก็อยากลาออกเลยล่ะ

คิมยงกุกหัวเราะเสียงใสกับประโยคเนือยๆของคนเป็นสามี พลางก้มมองคนบนตักที่กำลังมองเขาอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน แต่แล้วก็ต้องเลิกคิ้วเมื่ออีกฝ่ายดึงมือบางของเขาไปจับเอาไว้

นี่ยงกุก

ครับ?”

ถ้ากลับบ้านไปแล้ว…”

ปลายนิ้วอีกฝ่ายเกลี่ยไล้หลังมือของเขาไปมา เสียงทุ้มยังคงเอ่ยต่อไปด้วยน้ำเสียงคงที่

หากแต่สายตาที่มองมากลับแฝงไปด้วยความอบอุ่นแปลกประหลาดที่ชวนให้สั่นไหว

ย้ายมานอนห้องเดียวกันเถอะ

และคิมยงกุกไม่อาจโกหกตัวเองได้

ว่าความรู้สึกในใจของเขากำลังสั่นไหวอยู่จริงๆ

ดูเหมือนเราทั้งคู่จะพยายามกันได้ดีกว่าที่คิดเอาไว้มาก

มากจนเขาแทบลืมไปเสียแล้วว่าเราเคยแสดงความอึดอัดและมีท่าที่ประดักประเดิกกันมาก่อน

ความใกล้ชิดของเราในตอนนี้ให้ความรู้สึกราวกับเรื่องพวกนั้นไม่เคยเกิดขึ้น

ได้สิครับ

ราวกับความว่างเปล่านั้นไม่เคยมีอยู่จริง
.
.
.
.
.
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการพักผ่อนในแทกู มื้ออาหารเย็นของวันนี้ก็เลยดูเหมือนว่าจะพิเศษกว่าทุกวัน

เรามีปาร์ตี้บาร์บีคิวที่สวนหลังบ้าน มีเพื่อนบ้านไร่ติดกันกับคนงานในไร่ของแม่มาร่วมด้วย ปาร์ตี้ถึงได้ไม่เงียบเหงา

มันเต็มไปด้วยเสียงดนตรี เสียงหัวเราะของเด็กๆลูกคนงาน และเสียงพูดคุยสนุกสนาน

เป็นบรรยากาศในแบบที่ฮยอนบินไม่ได้สัมผัสมานานมากแล้ว

นานจนเกือบลืมว่ามันสนุกขนาดไหน

ไงพี่บิน มองน้องแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว คิดว่าตัวเองเป็นหนุ่ม ม.ปลายหรือไง หืม?”

เป็นแม่ที่เดินมายืนอยู่ข้างๆกันที่หน้าเตาบาร์บีคิว พร้อมกับเอ่ยปากแซวเขา

ซึ่งฮยอนบินไม่ปฏิเสธ

เพราะทุกครั้งที่เงยหน้าไปเห็นยงกุกที่กำลังยิ้มแย้ม พูดคุยกับพวกคนงาน หรือตอนที่กำลังเล่นกับเด็กๆ

เขาก็ไม่เคยห้ามรอยยิ้มของตัวเองได้ทุกที

มีความสุขก็ต้องยิ้มสิครับ

เชวจีอูแสร้งเบ้ปากหมั่นไส้ หากแท้จริงแล้ว เพียงแค่ลูกเอ่ยปากออกมาว่ามีความสุขแบบนี้ คนเป็นแม่อย่างเธอก็ดีใจจะแย่แล้ว

คิดแล้วก็ตลกดีนะ...แม่เคยได้ยินด้วยล่ะว่าใครๆเขาก็พากันเรียกหนูยงกุกว่าเจ้าหญิง

ครับ แถมพูดกันว่าเมียบินหยิ่งด้วย

ก็นะ...ตอนแรกพอรู้ว่าจะแต่งกับคุณหนูเล็กของตระกูลคังแม่ก็กังวลนิดหน่อยเหมือนกันแหละ ถามย้ำๆกับป้าเราตั้งหลายครั้ง ว่าต้องแต่งกับเจ้าหญิงที่เค้าว่ากันนั่นจริงๆหรอ

ควอนฮยอนบินหลุดหัวเราะ

ไม่แปลกใจเสียเท่าไหร่ที่แม่จะคิดแบบนั้น

ตระกูลคังเลี้ยงยงกุกเหมือนเจ้าหญิงบนหอคอยทองคำแบบที่ใครเขาก็ว่ากันจริงๆนั่นแหละ ออกงานแต่ละทีก็ต้องเป็นงานที่สำคัญมากๆ แถมการคุ้มกันของตระกูลก็ต้องแน่นหนากว่าปกติ

การที่ยอมให้ยงกุกมาแต่งงานกับเขา คงเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากที่สุดของตระกูลคังเลยก็ว่าได้

แต่เราทั้งสองตระกูลต่างมองเห็นอะไรหลายๆอย่างที่สำคัญยิ่งกว่า

การจะรักษาบางสิ่งไว้ จำเป็นต้องแลกด้วยบางสิ่งเสมอ

ทว่าไม่เคยมีสักวินาทีเดียวที่ควอนฮยอนบินคิดว่านี่คือการตัดสินใจผิด

เพราะเป็นยงกุก

การแต่งงานครั้งนี้อาจเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตของเขาแล้วก็ได้

พอเราโทรมาเล่าเรื่องยงกุกให้แม่ฟัง...แม่ก็ใจชื้นขึ้นมากเลยนะ ใครจะคิดว่าเจ้าหญิงที่เขาว่ากัน จะดูแลลูกบ้างานของแม่คนนี้ได้ดีกว่าที่คิดซะอีก

หลังจากนี้คงบ้างานน้อยลงแล้วล่ะครับ

หมั่นไส้จริงๆ

คนเป็นแม่หรี่ตามองเขา ก่อนจะส่ายหน้ายิ้มๆ และฮยอนบินก็ไม่วายโน้มตัวไปโอบกอดมารดาพร้อมเสียงหัวเราะ ราวกับย้อนไปในวัยเด็ก

ฝ่ามือบอบบางของคนเป็นแม่เอื้อมไปลูบกลุ่มผมสีเข้มของลูกชายคนเดียว

ไม่อยากจะเชื่อว่าเวลาจะผ่านไปไวถึงขนาดนี้

เธอรู้สึกเหมือนเพิ่งส่งลูกเข้าโรงเรียนอนุบาลวันแรกไปเมื่อวานนี้ด้วยซ้ำ

ทั้งที่นั่นมันก็ผ่านมายี่สิบกว่าปีได้แล้ว

เผลอแวบเดียวลูกของเธอก็โตเป็นผู้ใหญ่ แต่งงาน แล้วก็กำลังจะมีครอบครัวของตัวเอง

และเมื่อมองเลยไปที่ลูกสะใภ้ที่กำลังยิ้มร่าอยู่กับเด็กๆ...

ชเวจีอูรู้สึกขอบคุณอะไรก็ตาม ที่ทำใหยงกุกยอมแต่งงานกับฮยอนบิน

ขอบคุณที่ทำให้ยงกุกเข้ามาเป็นหนึ่งในเรื่องโชคดีไม่กี่เรื่องในชีวิตลูกชายของเธอ

นี่...ฮยอนบินนา

ครับ?”

แม่รู้นะว่าสิ่งที่บินกำลังทำอยู่ตอนนี้มันหนักหนาขนาดไหน...แต่ไม่ว่าจะตัดสินใจทำอะไร ต้องรู้ไว้ตลอดว่าเราไม่ได้ตัวคนเดียวอีกแล้ว...เข้าใจใช่ไหม?”

ควอนฮยอนบินผละตัวออกจากอ้อมกอดอบอุ่นก่อนจะมองหน้าคนเป็นแม่พร้อมส่งรอยยิ้มบางให้เป็นการตอบรับ

พอแต่งงานแล้ว...เราจะแบกรับทุกอย่างไว้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น

นานมาแล้วที่พ่อพูดกับเขาแบบนั้น

ควอนฮยอนบินในวันนั้นเดียงสาเกินกว่าจะเข้าใจ

บินรู้ครับแม่

แต่มาวันนี้ดูเหมือนเขาจะเข้าใจคำพูดนั้นของพ่อได้ดีกว่าใคร

ฮยอนบินเคยรู้สึกอยู่หลายครั้ง

ว่าสิ่งที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่นั้น บางครั้งมันก็ช่างหนักหนาสาหัส

แต่อย่างน้อยตอนนี้

เขาก็ไม่จำเป็นต้องผ่านมันไปด้วยตัวคนเดียวอีกแล้ว...
.
.
.
.

คิมยงกุกกำลังเดินไปทั่วห้องเหมือนหาอะไรสักอย่างหนึ่ง ตอนที่ฮยอนบินเดินกลับเข้ามาในห้องหลังจากออกไปคุยโทรศัพท์กับมินฮยอนเรื่องที่อีกฝ่ายและครอบครัวจะมากินข้าวที่บ้านเขามะรืนนี้

หาอะไรยงกุก?”

ไดรเป่าผมครับ คุณเห็นหรือเปล่า? แต่ผมว่าเมื่อวานผมเอาวางไว้ตรงโต๊ะนี่นะ

แม่มายืมไปตอนนายอาบน้ำอยู่น่ะ เดี๋ยวฉันไปเอาให้แล้วกัน

ไม่ๆ ไม่ต้องหรอกครับ ดึกแล้วไม่อยากไปกวนแม่ เดี๋ยวนั่งเช็ดเอาก็ได้

ว่าพลางหย่อนตัวนั่งลงตรงปลายเตียง ก่อนมือบางจะดึงผ้าขนหนูที่พาดอยู่ตรงบ่าออกมา

ทว่าตอนที่กำลังจะยกมือขึ้นเช็ดผม ควอนบินที่เดินมานั่งลงข้างๆก็แบมือมาตรงหน้าเขาเสียก่อน

ครับ?”

เอามาสิ...เดี๋ยวเช็ดให้

คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อย ด้วยอดรู้สึกแปลกเสียไม่ได้ หากสุดท้ายก็ยอมยื่นผ้าขนหนูให้คนข้างๆที่ขยับเข้ามาใกล้กันมากกว่าเดิม เพื่อจะเช็ดผมให้เขาได้ถนัดขึ้น

ใกล้มากเสียจนคิมยงกุกไม่รู้จะเอาสายตาไปวางไว้ตรงไหนตอนที่อีกคนบรรจงใช้ผ้าขนหนูซับไปตามกลุ่มผมนุ่มของเขาอย่างเบามือ

นิ่มนวลเกินจะเชื่อว่าคนอย่างนายใหญ่ตระกูลควอนทำอะไรแบบนี้ก็เป็นเหมือนกัน

นี่---ถามอะไรหน่อยได้ไหม?”

ครับ

รู้สึกยังไง ตอนรู้ว่าจะต้องแต่งงาน

ตาเรียวเหลือบมองหน้าอีกฝ่ายทันทีที่ได้ยินคำถาม เพื่อจะพบว่าดวงตาสีเข้มคมคู่นั้นกำลังจดจ้องมาอยู่ก่อนแล้ว...

และอีกครั้งกับความสั่นไหวภายในเพียงเพราะการสบตา

แม้จะเป็นเพียงความสั่นไหวที่น้อยนิดพอๆกับเวลาที่ใบไม้ร่วงหล่นตกลงกระทบผิวน้ำ

แม้จะเบาบางเช่นนั้น...

แต่มันก็คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นจริง

ถามยากหรอ?”

เปล่าครับ แค่...ไม่เคยมีใครถามแบบนั้น

ทุกคนรอบตัวทั้งรักทั้งห่วงเขา ใช่ นั่นคือเรื่องจริง

ทุกคนห่วง...แต่คำถามที่ว่าเขารู้สึกอย่างไรนั้น คิมยงกุกไม่เคยได้รับมันมาก่อน

แม้กับตัวเองเขายังไม่นึกจะถาม

คิดแต่เพียงว่าเป็นหน้าที่...ความรู้สึกของเขาล้วนกลายเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่าฝุ่นผง

ไม่คิดเสียด้วยซ้ำว่าจะได้ยินคำถามนี้จากฮยอนบิน

และนั่นทำให้ยงกุกตระหนักได้ว่าตัวเขาละเลยความรู้สึกของตัวเองมากขนาดไหน

คำถามนี้ทำให้เขาต้องกลับมาคิดทบทวนถึงมันอีกครั้ง

ตอนนั้นก็กังวลเหมือนกันครับ รู้สึกกลัวอยู่นิดหน่อย เพราะไม่รู้เลยว่าต้องมาเจออะไรบ้าง...บอกตรงๆว่าเรื่องที่เคยได้ยินเกี่ยวกับคุณมา มันก็..นะ

ควอนฮยอนบินหัวเราะออกมาเบาๆ ทำไมจะไม่รู้ว่าคนอื่นๆพูดถึงเขาว่าอย่างไร

ก็ไม่แปลกถ้าจะว่ากันแบบนั้น

และควอนฮยอนบินก็สบายใจที่จะปล่อยให้คนอื่นว่ากันไปว่าเขาโหดเหี้ยม น่ากลัว เยือกเย็น หรืออะไรก็แล้วแต่จะสรรหามานิยาม

ความจริงว่าควอนฮยอนบินเป็นคนอย่างไรนั้น...มีแค่คนรอบข้างที่รู้ก็พอแล้ว

แล้วตอนนี้ล่ะ รู้สึกยังไง?”

ยงกุกผุดยิ้มหลังจากคำถามนั้น

ดีกว่าที่คิดเยอะเลยครับ

ชีวิตแต่งงานน่ะหรอ

ครับ...คุณก็ด้วย

ฮยอนบินชะงักมือทันทีหลังจากสิ้นสุดคำตอบอันแสนเรียบง่าย

ก็แค่การตอบคำถามแบบตรงไปตรงมาของคิมยงกุก...ก็แค่นั้น

ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่ามันช่างน่ารัก

เขาชมยงกุกในใจว่าน่ารักมากจนเลิกนับไปแล้วว่าชมไปกี่ครั้ง เพราะไม่ว่าอย่างไร...

ภรรยาของเขาก็คงไม่เลิกทำตัวน่ารักอยู่ดี

ฉันอาจไม่ได้ดีแบบที่นายคิดก็ได้

ส่วนไม่ดีก็คือส่วนไม่ดีนี่ครับ คนเราก็มีกันทุกคน แต่คุณไม่ได้ใช้มันกับผม เพราะงั้นสำหรับผม...คุณก็ดี

ควอนฮยอนบินรู้สึกได้จริงๆ

ว่าหลังแต่งงานมานี้

มันเป็นช่วงเวลาที่เขายิ้มได้มากที่สุดในรอบปี

คิมยงกุกเนี่ย

เป็นคนที่ยิ่งอยู่ด้วยในทุกๆวันก็รู้สึกว่าจะยิ่งน่ารักมากขึ้นกว่าเมื่อวานจริงๆ

ขอบคุณที่ตัดสินใจแต่งงานกัน

เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่ยังคงไม่จางหายและยังคงสบดวงตาสุกใสคู่นั้นไม่ละไปไหน

มือใหญ่ลูบเส้นผมนุ่มนิ่มของคนตรงหน้าหลังจากที่เช็ดจนผมสีเข้มเกือบแห้งสนิท

ขอบคุณเหมือนกันครับ

หืม? เรื่องอะไร?”

ควอนฮยอนบินเลิกคิ้ว คนเป็นภรรยาจึงพูดต่อด้วยรอยยิ้มน่ารักแบบที่มีให้เขามาตลอด

ก็ขอบคุณ...ที่ทำให้รู้สึกว่านี่ไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิดพลาด

ในตอนนั้นเองที่เราทั้งคู่ต่างก็คิด

ว่าจริงๆแล้ว

บางทีเราอาจไม่ต้องพยายามอะไรกันเลยก็ได้

ก็แค่ปล่อยให้อะไรๆมันเป็นไปอย่างที่มันจะเป็น

กับความรู้สึกในตอนนี้ก็เหมือนกัน...

T
B
C.
เราติดซีรี่ส์อ่ะแก งานเยอะแล้วยังจะติดซีรีส์อีก น่าตีเนาะ ;-;
นี่ลงแบบยังไม่ได้จัดหน้าอะไรทั้งนั้นด้วย งานเผาเว่อ 55555555
มีปมนิดหน่อย แต่ก็อย่าได้ซีเรียสไป เราก็ไม่ใช่คนชอบดราม่าอะไรมากมายค่ะ ไม่ต้องกลัวไปเนาะ ยังไงมันก็เป็นฟิคโรแมนติก โดเมสติก แนวๆครอบครัว อะไรทำนองนี้อยู่แล้ว
และเช่นเคยกับช่วงท้ายรายการของเรา ขอบคุณทุกๆฟีดแบคสำหรับตอนที่ผ่านมา น่ารักที่สุดในจักรวาลทางช้างเผือกเลย อ่านแล้วหายเหนื่อยจีงๆนะ ฮืออออ ขอบคุณมากๆค่ะ รักๆๆๆ ;___;
เจอกันแชปหน้า as soon as possible นะคะ จะพยายามมาให้เร็วที่สุดจริงๆ เขียนแค่พล็อตแต่ละตอนว่ายากแล้ว เขียนจริงนี่คูณร้อยไปเลย ;-;
สุดท้ายของท้ายสุด ยังสามารถส่งความรักความอบอุ่นกันได้ที่เดิมที่ #PBITR ของเราเนาะ
เริ้บเหมินเดิมข่า
M i s s c o z y


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Content

Prologue

Chapter IV : Start it slow